นายวชิระ อริยะพงษ์กรณ์ อายุ 41 ปี นำหลักฐานเป็นสำเนาเอกสารการฝากเงินเข้าบัญชีของธนาคารแห่งหนึ่งใน อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท(ธสิกรไทย สาขาวัดสิงห์) มาร้องทุกข์
โดยเล่าว่าเมื่อวันที่ 27 เมษายนที่ผ่านมา ตนซึ่งเป็นพนักงานร้านจำหน่ายอาหารสัตว์ ได้รับมอบหมายจากนายจ้างให้นำเงินสด จำนวน 80,000 บาทไปเข้าบัญชีธนาคารตามปกติ ซึ่งตนก็นับเงินต่อหน้านายจ้างว่าครบถ้วน ก่อนนำเงินจำนวนดังกล่าวที่มีทั้งแบ๊งค์ 1,000 บาทและแบ๊งค์ 500 บาทใส่กระเป่ากางเกงไปยังเคาเตอร์ธนาคาร และเขียนเอกสารนำฝากจำนวน 80,000 บาทตามจำนวนเงิน แล้วส่งให้พนักงานทำการตรวจนับและออกสลิปรายการรับฝากให้ โดยตนไม่ได้ตรวจรายละเอียดในสลิปเพราะไม่เคยเกิดปัญหาขึ้น
จนกระทั่งผ่านไป 2 วันนายจ้างของตนได้นำเงินสดไปเข้าบัญชีเองจำนวน 110,000 บาทแต่เจ้าหน้าที่ธนาคารลงรายการรับเงินเพียง 11,000 บาท ซึ่งพนักงานยอมรับว่าทำงานผิดพลาดและได้แก้ไขรายการให้ ทำให้นายจ้างเริ่มไม่มั่นใจการทำงานของพนักงานธนาคาร จึงนำเอกสารรับฝากที่เก็บไว้ออกมาตรวจสอบ จึงพบว่าเอกสารรับฝากวันที่ 27 เมษายนที่ตนเป็นคนนำเงินไปฝาก มียอดการรับฝากไม่ตรงกัน คือตนเขียนยอดฝากและส่งเงินให้พนักงาน 80,000 บาทแต่ในสลิปออกรายการรับฝากให้เพียงแค่ 40,000 บาทเท่ากับมีเงินหายไป 40,000 บาทเมื่อสอบถามไปทางธนาคารเจ้าหน้าที่ก็ยืนยันว่านับเงินได้เพียง 40,000 บาท
โดยเปิดภาพวีดีโอจากกล้องวงจรปิดให้ดูเป็นการยืนยัน ทำให้ตนเองตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่ายักยอกเงินนายจ้าง จึงต้องการขอความเป็นธรรม เพราะจากภาพกล้องวงจรปิดพบพิรุธบางอย่างที่พนักงานธนาคารมีการแยกเงินออกเป็น 2 ส่วนแล้วนำไปเข้าเครื่องนับเพียงส่วนเดียว แล้วเก็บอีกส่วนเข้าลิ้นชักโดยไม่มีการตรวจนับ ซึ่งอาจจะเป็นสาเหตุให้ยอดเงินหายไปหรือไม่ ตนจึงอยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ร้อยเวรที่ตนไปลงบันทึกประจำวันไว้ ช่วยตรวจสอบภาพโดยละเอียดจากมุมกล้องอื่นๆเพื่อพิสูจน์ข้อสงสัยของตน เพื่อความกระจ่างในกรณีดังกล่าว
ตามคำแนะนำของศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดชัยนาทที่ตนไปร้องทุกข์ขอความช่วยเหลือเมื่อเร็วๆนี้ เพราะหากตนพิสูจน์ตัวเองไม่ได้ ก็จะต้องถูกตราหน้าว่าเป็นคนคดโกง และที่ร้ายที่สุดอาจจะต้องติดคุกติดตารางด้วย ขณะที่ นางสายสุนีย์ อู๋เพชร อายุ 54 ปีนายจ้างของนายวชิระได้ออกมาเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า เรื่องดังกล่าวผ่านมาเกือบ 2 เดือนแล้วแต่ยังไม่มีความชัดเจนจากทางธนาคาร ทำให้ตนเองไม่วางใจในการทำงานของพนักธนาคาร เพราะยอดเงินที่หายไปยังไม่ถูกตรวจสอบหาข้อพิสูจน์อย่างจริงจังว่าหายไปได้อย่างไร ทำให้ยังไม่ได้เงินกลับมา และพฤติกรรมของพนักงานคนรับเงินที่มีการแยกเงินเป็น 2 ก้อน แต่นับเพียงก้อนเดียวนั้น ถูกต้องหรือไม่อย่างไร และปัจจุบันพนักงานคนดังกล่าวก็ยังทำงานอยู่ตามปกติ
ส่วนของนายวชิระเองทางร้านเคยให้นำเงินไปเข้าบัญชีแบบนี้อยู่เป็นประจำ และหลายครั้งที่ยอดเงินสูงกว่านี้ ก็ไม่เคยมีปัญหา ซึ่งในเรื่องนี้ตนเองต้องการให้ ธนาคารและตำรวจเร่งพิสูจน์ข้อเท็จจริงดังกล่าว ว่าพนักงานธนาคารกระทำการทุจริต หรือลูกน้องของตนยักยอกเงิน เพื่อให้เกิดความกระจ่าง บุคคลที่เกี่ยวข้องจะได้พ้นมลทิน คนกระทำผิดจะได้รับการลงโทษ เพราะถ้าหากนายวชิระผิดตนเองก็ไม่เอาไว้เช่นกัน และถ้าหากพนักงานของธนาคารผิดก็ควรจะต้องได้รับโทษเช่นกัน
ผู้สื่อข่าวของเราติดต่อสอบถามเรื่องดังกล่าวไปยังธนาคารที่เกิดเหตุ ได้รับคำตอบจากเจ้าหน้าที่ว่าเรื่องดังกล่าวอยู่ระหว่างการนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการ ประจำสำนักงานใหญ่ ที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งยังไม่มีมติออกมาว่าจะมีมาตรการดำเนินการอย่างไร จึงทำได้เพียงรอมติและเอกสารสั่งการอย่างเป็นทางการต่อไป