นานมาแล้วในอาณาจักรอันไกลโพ้น มีพ่อมดนามว่าเมอร์ลินได้เรียกเหล่าอิศวินให้มาชุมนุมกันที่ราชอุทยาน พร้อมกับกล่าวว่าคำท้าว่า “พวกท่านทั้งหลายรอคำท้าจากข้ามานานแล้ว บ้างก็ท้าให้ประลองยุทธฝีมือ บ้างก็ให้ประลองด้วยหอก ดาบ แต่ข้าขอถ้าในสิ่งที่แตกต่างจากไปนี้คือ ข้าได้รู้มาว่า ในอีกเจ็ดคืนข้างหน้า จะมีต้นโคลเวอร์วิเศษงอกขึ้นในอาณาจักรของเรา” “เป็นต้นโคลเวอร์วิเศษที่มีใบสี่ใบ ซึ่งมันจะให้อำนาจพิเศษ ซึ่งก็คือ ใครก็ตามที่ได้ครอบครองมัน จะมีโชคได้ไม่จำกัด ทั้งเวลา ความสุข ค้าขาย ความรัก หรือแม้แต่การสู้รบ และร่ำรวยไม่มีที่สิ้นสุด”
เหล่าอัศวินทั้งหลายต่างดีใจและก็อยากได้ต้นโคลเวอร์วิเศษนี้ มาครอบครอง แล้วก็ถามพ่อมดเมอร์ลิน ว่าเจ้าต้นโคลเวอร์วิเศษนี้มันขึ้นที่ไหนกัน เมอร์ลินก็บอกว่า เจ้าต้นโคลเวอร์วิเศษนี้ จะงอกขึ้นที่ป่ามหัศจรรย์ ที่อยู่เลยภูเขาเขาสิบสองลูกไปทางด้านหลังของหุบเขาหลงลืม ข้าไม่รู้แน่ว่าที่ไหน แต่มันจะงอกขึ้น ณ ที่ใดที่หนึ่งในป่าแห่งนี้ นั่นแหละ และหลังจากนั้นความตื่นเต้นของเหล่าอัศวิน ก็จางหายไป เพราะป่าที่ว่านี้มันกว้างใหญ่ไพศาลเหลือเกิน แล้วให้มาหาเจ้าต้นโควเวอร์ต้นเล็กๆ แค่นี้อ่ะนะ ไม่ไหวหลอก ให้ไปหาเข็มในกองฟาง ยังจะง่ายกว่าล้านเท่า หรือบอกให้ไปหาเม็ดทรายสีน้ำเงินยังจะง่ายกว่าอีก อัศวิน บางคนพูดประชด เสร็จแล้วพวกเขาทั้งหลายก็แยกย้ายกันไป พร้อมกับพากันบ่นว่า ถ้าเจ้ามีคำท้าที่พอจะเป็นไปได้มากกว่านี้ ค่อยมาบอกกับพวกข้าก็แล้วกัน
จากนั้นพวกเขาก็ขึ้นม้า ควบม้าจากไปทีละคน ทีละคน เหลืออยู่เพียงสองอัศวินสองคนเท่านั้นที่ยังไม่กลับไป พ่อมดเมอร์ลินจึงถามขึ้นว่า “พวกท่านไม่กลับไปหรือ” หนึ่งในสองอัศวินนั้นสวมเสื้อคลุมสีดำ นามว่าน้อต เขาตอบว่า “แน่นอนว่ามันยาก ป่ามหัศจรรย์นั้นกว้างใหญ่ไพศาล แต่ข้ารู้ ข้าจะไปถามใคร ข้าเชื่อว่า ข้าจะหาต้นโคลเวอร์ที่ท่านบอกได้ ข้าจะไปหาต้นโคลเวอร์วิเศษสี่ใบนี้ ต้นโคลเวอร์วิเศษจะต้องเป็นของข้า” อัศวินอีกนามหนึ่งชื่อว่าซิด สวมเสื้อคลุมสีขาว เขาบอกกับเมอร์ลินว่า หากท่านว่า ต้นโคลเวอร์วิเศษสี่ใบนี้เป็นต้นโคลเวอร์แห่งโชคดีที่ไม่มีที่สิ้นสุด และจะงอกขึ้นมาจากป่ามหัศจรรย์ ก็หมายความว่า มันต้องเป็นเช่นนั้น ข้าเชื่อในคำพูดของท่าน ดังนั้นข้าจะเข้าไปหาที่ป่าแห่งนั้น หลังจากนั้นเขาทั้งสองก็แยกย้ายกันออกไปตามหาต้นโคลเวอร์วิเศษที่ป่ามหัศจรรย์ การเดินทางไปป่ามหัศจรรย์ใช้เวลาเดินทางมากถึงสองวัน กว่าจะไปถึง ซึ่งป่ามหัศจรรย์นั้นเป็นสถานที่ที่มืดมาก แม้แต่ตอนกลางวัน ก็มีไม้ใหญ่ปกคลุมหนาทึบ
เช้าวันต่อมา น้อต ได้ตัดสินใจแน่วแน่ที่จะต้นโคลเวอร์วิเศษนี้ ทันใดนั้นก็คิดขึ้นได้ว่า ต้นโคลเวอร์วิเศษจะงอกขึ้นที่พื้นดิน ใครเล่าที่จะรู้จักพื้นดินทั่วทุกตารางนิ้วดีได้เท่ากับ โนม เจ้าชายแห่งผืนดิน เขานี้แหละที่จะบอกเราได้ จากนั้น น้อตก็ออกเดินทางตามหาโนม จนกระทั้งเขาได้พบกับโนม “เจ้าต้องการอะไร” โนมถาม “มีคนบอกข้าว่าเจ้าตามหาข้าอยู่ทั้งวัน” “ใช่แล้ว” พอดีข้าได้รู้มาว่า ในอีกห้าคืนจะมีต้นโคลเวอร์วิเศษสี่ใบงอกขึ้นที่ป่าแห่งนี้ ต้นโคลเวอร์งอกจากพื้นดิน เจ้าน่าจะรู้จักดี บอกข้าทีว่ามันจะขึ้นที่ไหน “อืมมมมมมมมม” โนมครุ่นคิด อยู่นานก็บอกว่า ตั้งแต่ที่ข้าอยู่ที่นี้มาเป็นเวลากว่าร้อยห้าสิบปี ไม่เคยมีต้นโคลเวอร์เกิดขึ้นที่นี้เลย คนที่บอกเจ้า หลอกเจ้าแล้วล่ะ น้อตก็ตอบโนมไปว่า “ไม่ใช่เจ้าหรอกหรือที่หลอกข้าน่ะ เจ้าคงยังไม่ได้บอกอัศวินที่ขี่ม้าขาวไปหรอกน่ะ” น้อตถามอย่างท้าทาย จากนั้นก็จากโนมไป โดยในใจเขาก็แอบคิดว่า โนมอาจพูดจริง โชคคงไม่เกิดขึ้นกับเขาแน่ๆ เขาเริ่มรู้สึกกลัว และเขาก็แทนที่ความกลัวด้วยการไม่เชื่อสิ่งที่โนมบอก และมั่นใจว่า พรุ่งนี้ต้องไม่เหมือนวันนี้แน่ๆ โชคอาจรอเขาอยู่ที่อื่นก็ได้
ส่วนทางอัศวินที่ชื่อว่าซิดหลังจากมาถึงเขาก็คิดได้เช่นกันว่าต้นโคลเวอร์เกิดขึ้นที่พื้นดินไม่มีใครรู้จักพื้นดินได้ดีเท่าโนม เจ้าชายแห่งผืนดินอีกแล้ว และเขาก็มาพบกับโนมหลังที่น้อตจากไปไม่นาน ซิดลงจากม้าแล้วถามโนม “ข้ารู้มาว่า ในอีกห้าคืนจะมีต้นโคลเวอร์วิเศษ....” ซิดพูดไม่ทันจบ โนมก็หน้าแดงขึ้นมา วันนี้มันเป็นอะไรนักหนา ทำไมมีแต่คนมาถามหาแต่ต้นโคลเวอร์บ้าเนี่ย ข้าได้บอกกับอัศวินอีกคนไปแล้ว ว่าไม่เคยมีต้นโคลเวอร์นำโชคเกิดขึ้นในป่าแห่งนี้ คนที่บอกพวกเจ้ามานะ เข้าใจอะไรผิดแล้ว ในตอนนี้ซิดก็ตระหนักคิดว่า ต้องมีอะไรผิดปกติเกิดขึ้น เป็นไปได้ที่ทั้งคู่พูดความจริง เป็นไปได้ที่สภาวะแบบนี้อาจจะไม่มีต้นโคลเวอร์เกิดขึ้นตามที่โนมพูด เขาจึงถามโนมกลับไปว่า ยังขาดอะไรไปหรือเปล่าที่ทำให้ต้นโคลเวอร์งอกขึ้นมาได้ โนมก็ตอบว่า “ดิน เป็นเพราะดินนะซิ ไม่เคยมีใครมาปรับเปลี่ยนหน้าดินที่นี้เลย ต้นโคลเวอร์ต้องการดินที่ใหม่และร่วนซุย และในป่าแห่งนี้ ดินมันแข็ง เกาะตัวเป็นก้อน จะให้ต้นโคลเวอร์งอกขึ้นมาได้อย่างไร” “ถ้าเป็นเช่นนั้น ถ้าต้องการให้มีต้นโคลเวอร์เกิดขึ้น ข้อก็ต้องปรับเปลี่ยนหน้าดินใหม่ ใช่หรือไม่” โนมก็ตอบว่า “แน่ล่ะซิ เจ้าไม่รู้หรอกหรือว่า เราจะได้สิ่งใหม่ๆ มาก็ต่อเมื่อได้ทำสิ่งใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นเท่านั้น หากดินไม่เปลี่ยนก็ไม่มีทางที่ต้นโคลเวอร์จะงอกขึ้นมาได้อย่างแน่นอน” ซิดจึงถามต่อ แล้วข้าจะหาดินที่ดีได้จากที่ไหน โนมก็ยังอุตส่าห์ใจดีตอบ “ที่หมู่บ้านคาวล์นู้น พวกคาวล์เป็นพวกวัวแคระ ถ่ายทับทมกับกลายเป็นดินใหม่ นั้นแหละดินที่ดี” ได้ความดังนี้ซิดจึงเดินทางไปที่หมู่บ้านคาวล์ เขาหาดินใหม่ได้ไม่ยาก ด้วยการที่เขาไม่ได้เตรียมภาชนะมา เขาจึงสามารถเอาดินกลับมาได้เพียงแค่สองถุงเล็กๆ เท่านั้น พอมาถึงที่พักเขาก็รีบจัดแจงถอนหญ้าและวัชพืช เอาดินเก่าๆ ออก และใส่ดินใหม่ลงไปผสมแทน เมื่อเสร็จแล้วเขาก็เข้านอน ถึงแม้เขาจะมีแปลงดินที่กว้างไม่กี่คืบ เป็นไปได้ยากมากที่ต้นโคลเวอร์วิเศษจะงอกมาจากตรงนั้น แต่เขาก็ยังมีความสบายใจ ที่ได้ทำอะไรที่แตกต่าง เพราะการที่ได้กระทำในสิ่งที่แตกต่างคือการได้มาซึ่งสิ่งที่ไม่เหมือนเดิม
เช้าวันที่สี่ อากาสแจ่มใส อัศวินน้อตหลังจากกินผลไม้เสร็จก็ออกตามหาต้นโคลเวอร์ต่อ แต่ก็มีความกังวลกลัวว่าสิ่งที่โนมพูดอาจเป็นเรื่องจริง คือไม่มีต้นโคลเวอร์เกิดขึ้นในป่าแห่งนี้ แต่ความคิดนี้ไม่ก็ให้เกิดประโยชน์แก่เขา เขาจึงเลือกที่จะไม่เชื่อโนมและเดินทางต่อไป จนมาถึงทะเลแห่งหนึ่ง เขาและม้าได้แวะพักดื่มน้ำ ทันใดนั้นเอง เทพีแห่งทะเลสาบก็ปรากฏกายขึ้น พร้อมกับพูดว่า “พวกเจ้ามาที่นี้ทำไม พวกเจ้ารีบดื่มน้ำให้เสร็จก็รีบไปซะ พวกเจ้ากำลังจะทำให้ดอกบัวของข้าตื่น ถ้าดอกบัวของข้าตื่น ตอนกลางคืน พวกมันจะไม่ร้องเพลง ถ้าไม่ร้องเพลงน้ำก็จะไม่ระเหยออกจากทะเลสาบ ถ้าน้ำไม่ละเหย น้ำก็จะท่วมล้นออกมา ต้นไม้ ดอกไม้ที่อยู่ในป่านี้ จะต้องตายหมด ไปรีบไป” “หยุด หยุด!” อัศวินน้อตขัดขึ้น “เจ้าไม่ต้องมาเล่าเรื่องราวชีวิตของเจ้าให้ข้าฟัง ข้าไม่ต้องการสนใจปัญหาของเจ้า ขอเพียงแค่ข้าได้ถามเจ้า แค่เพียงหนึ่งคำถาม เจ้าเป็นเทพีแห่งทะเลสาบ เจ้าส่งน้ำให้แก่ต้นไม้ในป่านี้ เจ้าต้องย่อมรู้ดีว่าต้นโคลเวอร์วิเศษจะต้องขึ้นที่ไหน” จากนั้นเทพีหัวเราะเสียงดังแล้วบอกกลับไปว่า “ข้า ส่งน้ำให้ผืนป่าแห่งนี้ด้วยวิธีการไหลซึม แต่ต้นโคลเวอร์ชอบที่ ที่มีแหล่งน้ำไหล ไม่มีทางที่จะมีต้นโคลเวอร์เกิดขึ้นที่ป่าแห่งนี้ได้ เจ้ารีบออกไปจากทะเลสาบของข้าได้แล้ว” ทันทีที่น้อตได้ฟังในสิ่งที่เทพีพูด เขารู้สึกเหนื่อยหน่ายเป็นอย่างมากที่จะมาฟังคำตอบซ้ำๆ เดิมๆ เขาเริ่มจะเชื่อว่า บางทีเขาอาจจะไม่มีโชคมาเยือน สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกกลัวมากกว่าวันก่อน เขาพูดกับตัวเองในใจ เขาเกลียดโชค โชคเป็นสิ่งที่น่าปารถนา และก็เป็นสิ่งที่ได้มายากที่สุดในโลกด้วยเช่นกัน เขารู้สึกหดหู่และทำอะไรไม่ได้ นอกจากเดินทางต่อไปอย่างไร้จุดมุ่งหมาย
ส่วนทางด้านอิศวินซิดนั่น ค่อนข้างที่จะตื่นสายนิดหน่อย เพราะเมื่อวานเขาเข้านอนช้าจากการที่ต้องเตรียมแปลงดิน วันนี้เขาเลยคิดต่อว่า นอกจากดินที่อุดมสมบูรณ์แล้ว ต้นโคลเวอร์ต้องการสิ่งไหนอีก ใช่แล้ว น้ำ ต้นโคลเวอร์ต้องการน้ำ แล้วต้องใช้น้ำประมาณเท่าไรกันล่ะ พอคิดได้ อัศวินซิด จึงออกเดินทางตามหาเทพีแห่งทะเลสาบ เพราะนางเป็นผู้เดียวที่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับน้ำได้ดี จากนั้นไม่นานเขาก็ได้พบกับเทพีแห่งทะเลสาบ นางปรากฏกายขึ้นมาจากทะเลสาบอีกครั้ง และพูดประโยคเดิมเหมือนๆ กับที่พูดกับอัศวินน้อตเลยว่า “พวกเจ้ามาที่นี้ทำไม พวกเจ้ารีบดื่มน้ำให้เสร็จก็รีบไปซะ พวกเจ้ากำลังจะทำให้ดอกบัวของข้าตื่น ถ้าดอกบัวของข้าตื่น ตอนกลางคืนพวกมันจะไม่ร้องเพลง ถ้าไม่ร้องเพลงน้ำก็จะไม่ระเหยออกจากทะเลสาบ ถ้าน้ำไม่ละเหย น้ำก็จะท่วมล้นออกมา ต้นไม้ ดอกไม้ที่อยู่ในป่านี้ จะต้องตายหมด ไปรีบไป” อัศวินซิด ไม่เพียงแต่ตกตะลึงถึงความงามที่เกิดขึ้นก่อนหน้า แต่ยังอึ้งกับคำพูดของนาง เพราะปัญหาที่นางแจกมาเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะสามารถตักน้ำจากแหล่งน้ำนี้ไป ได้โดยไม่ให้ดอกบัวตื่น แต่ด้วยความที่ซิดเป็นคนที่อ่อนไหว และเมื่อเหตุนี้มาผสมผสาน กับความงามของเทพีแห่งสายน้ำ เขาจึงสนใจปัญหาและพยามยามที่จะช่วยนาง “บอกหน่อยเถอะท่าน ทำไมไม่มีน้ำไหลออกจากทะเลสาบ ทะเลสาบทุกแห่งจะมีน้ำไหลออก ทะเลสาบทุกแห่งจะเป็นจุดกำเนิดของลำธารหรือแม่น้ำไม่ใช่หรือ” เทพีแห่งทะเลสาบ กล่าวด้วยเสียงที่เศร้า และมีความเจ็บปวดที่ว่า “เพราะตัวข้ามีแต่น้ำตกลงมาไม่มีแหล่งน้ำใดไหลออกจากตัวข้า ข้าถึงได้คอยเฝ้าดูแลให้ดอกบัวของข้านอนหลับให้เพียงพอ เพื่อที่จะร้องเพลงเพื่อคายน้ำในเวลากลางคืน แต่ตัวข้ากลับไม่ได้นอนแทน แต่พอตอนกลางคืนที่ดอกบังร้องเพลง ข้าไม่สามารถนอนหลับได้เพราะเสียงจากเพลงที่ดอกบัวร้อง ข้ามีชีวิตแบบเป็นทาสของน้ำในตัวข้าเอง ได้โปรดเถิด จงไปเสีย อย่าทำให้ดอกบัวข้าตื่นเลย”
“ข้าช่วยท่านได้นะ” ซิดเสนอ “ช่วยบอกข้าอย่างหนึ่งเถิดท่านรู้หรือไม่ว่าต้อนโคลเวอร์ต้องการน้ำมากน้อยเพียงใด” เทพีแห่งทะเลสาบตอบ “ชุ่มเลยล่ะ ต้นโคลเวอร์ต้องการน้ำใส น้ำจากลำธาร ดินที่โคลเวอร์จะขึ้นได้ต้องอยู่ในสภาพชุ่มชื้นตลอดเวลา” “ชัววววววร์! ถ้าอย่างนั้นข้าช่วยท่านได้ และท่านก็ช่วยข้าได้เช่นกัน หากท่านอนุญาต ข้าจะขอขุดร้องดิน ตรงชายฝั่งของท่านให้เกิดเป็นลำธารออกมาจากท่าน ดังน้ำข้าก็สามารถทำให้น้ำไม่ขังอยู่ในอกของท่าน เช่นนี้ท่านก็ไม่ต้องกังวลเรื่องดอกบัวอีก และท่านสามารถนอนหลับได้มากตามที่ท่านต้องการ” เทพีแห่งทะเลสาบครุ่นคิด จากนั้นนางก็ตกลงยินยอม ซิดไม่รอช้า เขาใช้ดาบมาทำเป็นคันธนูผูกเชือกติดกับม้าของเขา และใช้ม้าของของเขาลากร่องไป เกิดเป็นลำธารสายใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในผืนป่านี้มาก่อน หลังจากเสร็จงานเขาเข้านอนและได้นึกถึงกับคำสอนของอาจารย์ของเขาว่า ชีวิตจะคืนให้เจ้าในสิ่งที่เจ้าเป็นผู้ให้ บ่อยครั้งที่ปัญหาของผู้อื่นเป็นครึ่งหนึ่งของทางแก้ปัญหาของเจ้า หากเจ้าแบ่งปันเจ้าจะได้มากขึ้นเสมอ สิ่งที่แปลกก็คือซิดกังวลน้อยลงทุกๆ ที ไม่ว่าที่แห่งนั้นจะใช่หรือไม่ใช่ที่ที่ต้นโคลเวอร์จะงอกขึ้นมาหรือไม่ บางทีเขาอาจรู้สึกโง่อยู่บ้างที่ทำงานหนักมากขนาดนั้น โดยที่ไม่มีทางรู้เลยว่าจะมีต้นโคลเวอร์งอกขึ้นมาจริงๆ หรือไม่ แต่เขากลับไม่รู้สึกอย่างนั้นเลย การที่เขาได้ทำในสิ่งที่เขาควรทำ ทำให้มันสามารถลบล้างกับความคิดของเขาไปได้ วันนี้เขาได้รู้มากขึ้นแล้ว วันพรุ่งนี้ต้องรู้มากกว่าวันนี้ให้ได้ เขามั่นใจเช่นนั้น
เช้าวันต่อมา น้อตอัศวินเสื้อคลุมดำ ตื่นนอนด้วยความรู้สึกห่อเหี่ยว ทางจากข้อมูลของโนมและเทพีแห่งสายน้ำ เขาอยากกลับปราสาทมาก แต่เขาก็ไม่ต้องการให้ความพยายามของเขาศูนย์เปล่าจึงตัดสินใจอยู่ต่อให้ครบเจ็ดวัน และหวังว่าเขาจะพบกับใครสักคนหนึ่งที่สามารถบอกเขาเรื่องต้นโคลเวอร์วิเศษนี้ได้ ทันใดนั้นเขาก็ฉุกคิดได้ขึ้นมา ว่าเขายังไม่ได้ไปพบกับเซโคยา ราชินีแห่งต้นไม่เลย เขาจึงเดินทางตามหาเซโคยา ไม่นานเขาก็ได้พบกับนาง “เซโคยา ราชินีแห่งต้นไม้เจ้าพูดได้หรือไม่” “เซโคยา ราชินีแห่งต้นไม้ข้ากำลังพูดอยู่กับเจ้านะ กรุณาตอบข้าด้วย เจ้าไม่รู้หรือว่าข้าเป็นใคร” ทันใดนั้นเซโคยาเริ่มเคลื่อนไหวกิ่งใบ ลำต้น แล้วพูดออกมาว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าคือใคร และข้าก็รู้จักต้นไม้ทุกต้นในป่าแห่งนี้เพราะข้าอยู่ที่นี้มามากกว่าหนึ่งพันห้าร้อยปีแล้ว การพูดจะทำให้ข้าเหนื่อย เจ้ามีอะไรก็รีบถามมา” น้อตตอบว่า “ข้ารู้มาว่า ในอีกสามคืนจะมีต้นโคลเวอร์วิเศษเกิดขึ้นที่ป่าแห่งนี้ แต่โนมและเทพีแห่งทะเลสาบบอกว่าไม่เคยมีต้นโคลเวอร์ เกิดขึ้นแม้แต่ต้นเดียวเจ้าช่วยบอกข้าทีว่ามันคือเรื่องจริงหรือไม่” เซโคยา ก็เริ่มใช้ความคิด ทบทวนความจำตลอดช่วงพันกว่าปีที่ผ่านมาจากวงปีของต้นไม้ ในที่สุดเขาก็ตอบว่าจริง ไม่เคยไม่ต้นโคลเวอร์วิเศษสี่ใบเกิดขึ้นที่นี้เลย แม้แต่ต้นธรรมดาสามใบสักต้นก็ยังไม่เคยเจอเลย น้อตผิดหวังเป็นอย่างมากบางทีเมอร์ลินอาจได้ข้อมูลที่ผิดๆ มา เขามีความคิดวูบขึ้นมาอีกว่าเมอร์ลินอาจหลอกเขาจริงๆ ก็ได้ เขารู้สึกห่อเหี่ยวใจอย่างมาก ท้อแท้และผิดหวัง เขาอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่น่าจะประสบความสำเร็จเสียเลย
ทางด้านอัศวินซิดเอง เขาตื่นเช้ามาพร้อมกับความพอใจมาก มากกว่าวันก่อนๆ ขามองดูทุกอย่างด้วยความร่าเริง และคิดว่าหากต้นโคลเวอร์วิเศษจะงอกขึ้นมาจริงๆ นั้น มันจึงมีความจำเป็นต้องรู้ว่าต้นโคลเวอร์ต้องการแสงสว่างและร่มเงามากเพียงใด เนื่องจากเขาไม่ใช่ชาวสวนเขาจึงหาใครสักคนที่รู้เรื่องต้นไม้เป็นอย่างดี ดังนั้นเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก เซโคยา ราชินี แห่งต้นไม่นั้นเอง เขาตามหาเซโคยา และเขาก็พบนางไม่นานหลังจากที่น้อตจากไป “ท่านเซโคยาที่เคารพ ท่านราชินีแห่งต้นไม้ หากท่านไม่เหนื่อยจนเกินไป ข้าใคร่อยากจะถามเจ้าสักข้อหนึ่ง แต่หากเป็นความประสงค์ของท่าน ข้าจะกลับมาวันอื่นก็ได้” เซโคยาดูท่าทีของซิด และให้ได้อย่างชัดเจนว่าเขาเป็นคนที่มีความนอบน้อม ถ่อมคนไม่หยิ่งพะยอง เหมือนคนอื่นๆ จึงได้ตัดสินใจพูดด้วย “จริงๆ แล้วข้อก็เหนื่อยอยู่หรอก แต่ว่ามาซิ คำถามของเจ้าคืออะไร” “ขอบคุณราชินีแห่งต้นไม่ที่ตอบข้า คำถามของข้าง่ายมาก ต้นโคลเวอร์ต้องการแสงแดดมากน้อยเพียงใด หากมีดินและน้ำเพียงพอแล้ว” เซโคยา ใช้เวลาคิดไม่นาน เพราะนางรู้คำตอบนั้นดีอยู่แล้ว “ต้นโคลเวอร์ต้องการแสงและเงาอย่างล่ะเท่าๆ กัน แต่เจ้าไม่พบในสถานที่เช่นนี้หรอก ป่านี้เป็นร่มเงาเสียทั้งหมด ต้นโคลเวอร์ไม่มีทางเกิดขึ้นที่นี้ได้ ก็อย่างทีข้าได้บอกกับอัศวินอีกนายหนึ่งไปแล้ว นี่คือคำตอบของข้า ลาก่อน” “ช้าก่อน ช้าก่อน ได้โปรดเถิดอีกคำถามเดียวเท่านั้น ในฐานะที่ท่านเป็นราชินี้แห่งต้นไม้ ท่านจะอนุญาตให้ข้า ลิดกิ่งก้านต้นไม้บางต้นของท่านออกได้หรือไม่ ท่านอนุญาต ข้าได้หรือเปล่า” “เจ้าไม่จำเป็นต้องขออนุญาตข้าหรอก เจ้าเพียงแค่ลิดกิ่งก้านที่ตายแล้วกับใบไม้แห้งๆ เท่านั้น ไม่มีใครในป่านี้จะมาตัดแต่งกิ่งก้านของพวกเราหรอก ผู้ที่อาศัยอยู่ในป่าขี้เกียจมาก มักจะผ่อนผันภารหน้าที่ไว้เสมอ หากเจ้าสละเวลาเพียงเล็กน้อย เจ้าก็จะได้แสงและเงาใต้ต้นไม้ได้ทุกต้นแหละ ต้นไม่ต้นใดที่มีคนทำให้อย่างนี้ ก็จะยินดีเป็นอย่างยิ่ง” “ขอบพระคุณ ขอบพระคุณ” ซิดตอบ อัศวินซิดรีบควบม้ามายังที่พัก กว่าเขาจะมาถึงที่พักก็ช้ามาก ตอนนั้นเป็นเวลาเย็นแล้ว เขาคิดในใจว่า ไว้ค่อยตัดแต่งกิ่งไม้พรุ่งนี้จะดีไหม อันที่จริงมันก็น่าจะไม่เหลือเรื่องใดอีกแล้ว แต่ทันใดนั้นคำพูดของเซโคยา ก็แวบขึ้นมา ‘อย่าพลัดวันประกันพรุ่ง’ ‘จงลงมือและอย่าพลัดผ่อน’ จริงอยู่ว่าไม่มีอะไรทำอีกแล้ว และเขาก็มีเวลาอีกทั้งวันในการลิดกิ่งไม้ออก แต่ถ้าเขาลิดกิ่งไม้ทิ้งเสียในตอนนี้ เขาก็จะมีเวลาเพิ่มขึ้นอีกวันหนึ่ง ซึ่งอาจมีประโยชน์ก็ได้ ว่าแล้วเขาจึงลงมือลิดกิ่งไม้ในทันที เขาใช้เวลาเกือบค่อนคืนในงานๆ นี้ เขารู้สึกพอใจมาก เขาไม่กังวลอีกต่อไปแล้วว่า บริเวณที่เขามาปรับหน้าดิน ขุดร่องน้ำ และตัดแต่งกิ่งไม้นั้น จะใช่บริเวณที่มีต้นโคลเวอร์วิเศษสี่ใบงอกขึ้นมาหรือไม่ แต่ตอนนี้เขาก็รู้ทุกอย่างที่ต้องมีสำหรับให้ต้นโคลเวอร์งอกขึ้นมา และเขาก็ได้จัดการเตรียมไว้แล้ว เขาจะใช้เวลาในวันรุ่งขึ้นทำอะไรดี บางทีอาจจะมีบางอย่างที่ดูเผินๆ เหมือนไม่จำเป็น แต่แท้จริงแล้วเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ก็เป็นได้ และนี่ก็เป็นอีกคืนที่เขานอนหลับและจินตนาการถึงโคลเวอร์วิเศษที่มีใบสี่ใบงอกขึ้นจากแปลกดินที่เขาทำขึ้นมา
ในวันที่หกอัศวินน้อต ใช้เวลาท่องไปเที่ยวป่ามหัศจรรย์ด้วยความหนักใจ อันที่จริงเขาไม่ได้คิดว่าจะพบกับต้นโคลเวอร์แต่อย่างใด แต่เขาไม่ต้องการกลับปราสาทเพียงคนเดียวต่างหาก ในเมื่อเขาต้องกลายเป็นตัวตลก ซิดก็ต้องกลายเป็นตัวตลกด้วย เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาจึงขึ้นไปบนพื้นที่สูงเพื่อตามหาเพื่อนของเขาอัศวินซิด และระหว่างนั้นเขาก็ได้พบเจอกับสโตน มารดาแห่งหินทั้งปวง เขาจึงถามสโตนเพื่อเน้นย้ำความแน่ใจว่า ในป่าแห่งนี้จะไม่มีต้นโคลเวอร์เกิดขึ้นแน่ๆ หรืออาจมีบ้างบนพื้นที่ ที่มีหินแบบนี้ สโตนมารดาแห่งหินทั้งปวงก็หัวเราะและตอบว่า เจ้าตามหาต้นโคลเวอร์วิเศษจนเป็นบ้าไปแล้วหรอ ไม่มีอยู่แล้ว ต้นโคลเวอร์ที่ไหนจะสามารถขึ้นบนที่มีหินอยู่ได้ จากนั้นน้อตก็ค่อยๆ เดินลงจากยอดเขาไปพร้อมกับเสียงหัวเราะจากสโตน และหมดหวังกับการตามหาต้นโคลเวอร์ และมุ่งหน้าตามหาซิดแทน และก็นึกในใจว่า “ถ้าไม่มีต้นโคลเวอร์วิเศษสำหรับ ข้าก็ไม่มีสำหรับมันด้วยเหมือนกัน”
ทางด้านซิคเองก็ตื่นเช้ามา เมื่อมองดูผลงานของเขาก็เป็นที่น่าประทับใจมาก ประกอบกับวันนี้ท้องฟ้าแจ่มใส เขาก็ติดสินใจปีนขึ้นไปบนยอดสูงของภูเขาเพื่อมองดูรอบๆ ว่ายังมีสิ่งไหนอีกหรือไม่ที่เขายังขาดอยู่ และทันใดนั่นเองสโตนก็ร้องออกมาว่า “เจ้าเหยียบข้าอยู่นะ!” ซิดสะดุ้งเกือบตกเขา “นี้หินพูดได้รึ แหมพอดีเลย” “ข้าไม่ใช่หินพูดได้นะ ข้าคือสโตน มารดาแห่งบรรดาหินทั้งปวงต่างหาก” สโตนแก้เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจ “ข้าว่าเจ้าคืออัศวินที่ตามหาต้นโคลเวอร์วิเศษอีกคนแน่ล่ะซิ” ฮ่าๆๆ “เจ้าเป็นมารดาแห่งหินทั้งปวงจริงรึ ถ้าอย่างนั้น เจ้าคงไม่เข้าใจต้นโคลเวอร์หรอกใช่ไหม” สโตนตอบ “ข้าบอกกับอัศวินอีกคนหนึ่งไปแล้ว ที่ไหนที่มีกรวดหิน ต้นโควเวอร์สี่ใบขึ้นไม่ได้หรอก” “เจ้าว่าต้นโคลเวอร์สี่ใบรึ” ซิดถาม “ใช่สี่ใบ” “แล้วถ้าแบบสามใบล่ะ” เขาถามอีก “แบบสามใบนะขึ้นได้ในดินที่มีหิน แต่แบบสี่ใบนะไม่แข็งแรงเท่า เพราะอย่างนั้นต้องการดินที่ปราศจากก้อนหินอย่างสิ้นเชิง เพื่อไม่ให้ขัดขวางการเจริญเติมโตของมัน” ทันใดนั้นเขาก็รู้ได้ทันทีเลยว่าหลาย ครั้งที่องค์ประกอบหลักๆ นั้นจะค้นพบได้ในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ แต่คำตอบสำหรับสิ่งที่ “ดูเผินๆ เหมือนจะไม่จำเป็น แต่แท้จริงแล้วเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้” นั้นยากนักที่จะพบว่าอยู่ในสิ่งที่รู้อยู่แล้ว “จริงซิ! ทำไมข้านึกไม่ถึงมาก่อนนะ ขอบใจท่านมาก ข้าไปก่อนล่ะ แทบไม่มีเวลาเหลือแล้ว” ซิดรีบลงจากภูเขาอย่างรวดเร็ว เมื่อไปถึงแปลงดินที่เขาเตรียมไว้ เขากลับพบว่าแปลกดินของเขาเต็มไปด้วยกรวดหินเล็กๆ เต็มไปหมด เขาจึงรีบนำออก ซิดรู้ดีว่า แก้วน้ำที่ใกล้จะเต็มมีความสำคัญ เพราะมันทำให้เขามุ่งมั่นที่จะเติมให้เต็ม และเขายังตระหนักได้อีกว่า แม้บางสิ่งที่ดูเหมือนจะเสร็จแล้ว แต่ก็มีบางอย่างที่ยังขาดอยู่โดยที่เราแทบจะไม่รู้เลย และหากวันนั้นซิดผัดวันประกันพรุ่งไม่ได้ตัดกิ่งไม้ในเย็นวันนั้นเลย เขาก็คงพลาดสิ่งที่สำคัญนี้เป็นอย่างมาก
คืนสุดท้ายขณะที่น้อตกำลังหาที่นอนอยู่ ม้าของเขาก็ได้เหยีบลง บนพื้นดินที่สดใหม่ มีน้ำหล่อเลี้ยง และไม่พบเศษหินเลย และใกล้ๆ กันนั้น มีม้าของอัศวินซิดผูกอยู่ “ซิด!” เขาเรียกซิด ซิดก็ตื่นขึ้นมาพร้อมกับถามว่า “น้อตเป็นไงบ้าง เจ้าเจอต้นโคลเวอร์นั้นหรือเปล่า” “อันที่จริงข้าเลิกหาได้สามวันแล้ว หลังจากที่โนมบอกข้าว่าไม่เคยมีต้นโคลเวอร์เกิดขึ้นที่ป่าแห่งนี้เลย แล้วเจ้าล่ะมาทำอะไรที่นี้ เนื้อตัวมอมแมมไปหมด ทำไมยังไม่กลับไปปราสาทอีก” “อ่อ เหมือนกันตั้งแต่โนมบอกกับข้าว่าไม่มีโอกาสที่ต้นโคลเวอร์จะงอกขึ้นมาที่ป่าแห่งนี้ได้ ข้าก็เลยง้วนสร้างแปลงดินนี้ขึ้นมาเอง เจ้าดูซิ มีทั้งธารนำไหล และร่มเงาของแสงแดด เหมาะกับการที่ต้นโคลเวอร์ให้เกิดขึ้นได้แน่ๆ” ซิดพูดด้วยความตื่นเต้น น้อตขัดขึ้น “เจ้าบ้าไปแล้วหรือ!” เจ้ามาสร้างแปลงขนาดแมวดิ้นตายไปทำไม ทั้งๆ ที่เจ้าก็ไม่รู้เลยว่าต้นโคลเวอร์จะงอกขึ้นมาที่ไหน ป่านี้ออกจะกว้างใหญ่ไพศาล ใหญ่กว่าพื้นที่ดินแปลงเล็กๆ ของเจ้าหลายล้านๆ เท่านัก เจ้าเสียสติไปแล้ว งั้นไว้เจอกันที่ปราสาทก็แล้วกัน ข้าจะไปหาที่สงบๆ ค้างแรมล่ะ”
และในคืนนั้นเองแม่มดนามว่ามอร์แกน ต้องการฆ่าพ่อมดเมอร์ลิน จึงเข้าไปหาน้อต และใช้อุบายหลอกน้อตว่า เมอร์ลินมันหลอกเจ้า ข้ารู้ดีเท่าๆ กับที่เมอร์ลินมันรู้ ข้ารู้ว่าต้นโคลเวอร์จะเกิดขึ้นที่ไหน ข้าจะบอกเจ้าถ้าเจ้าทำตามในสิ่งที่ข้าบอก คือฆ่าเจ้ามอร์แกนทิ้งซะเพราะมันหลอกเจ้า เพราะจริงๆ แล้วโคลเวอร์วิเศษจะงอกที่ราชอุทยาน มันจึงใช้อุบายหลอกพวกอัศวินมาเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจเท่านั้น เจ้าจงรีบกลับไปก่อนที่มันจะสาย เจ้าจงฆ่ามันทิ้งซะ เจ้าก็จะได้ประโยชน์จากต้นโคลเวอร์ส่วนฆ่าก็จะได้ประโยชน์จากการที่เมอร์ลินตาย จากคำพูดของพ่อมด ดูเป็นเหตุเป็นผลกันดี อย่างที่โนมบอกแล้วไม่มีผิด ต้นโคลเวอร์ไม่ได้เกิดขึ้นที่นี้ เขาจึงรีบไปเพื่อที่จะจัดการกับเมอร์ลิน พ่อมดมอร์แกนดีใจเป็นอย่างมากที่หลอกน้อตสำเร็จ จากนั้นเขาเดินทางไปหาซิด ต่อเขาต้องการให้ซิดกลับไป และเขาก็จะได้เป็นผู้ครอบครองต้นโคลเวอร์วิเศษนั้นสียเอง เขาจึงใช้อุบายหลอกซิดว่า มอร์แกนมันหลอกเจ้าเพราะอันที่จริงแล้วต้นโคลเวอร์ที่จะเกิดขึ้นเป็นต้นโคลเวอร์แห่งความโชคร้าย ผู้ใดที่เด็ดมันจะตายในภายในสามวัน แต่ถ้ามันไม่ถูกเด็ดเมอร์ลินจะตายในสามวัน ซึ่งมันเป็นคำสาบของข้าเอง และด้วยเหตุนี้เอง เมอร์ลินจึงหลอกใช้เจ้ามาที่นี้ ทางที่ดีเจ้าควรกลับไป เพราะเจ้าก็จะไม่ได้และไม่เสียอะไรเลย ซิดหยุดคิดและตอบกลับไปว่า “ถ้าเป็นอย่างที่เจ้าพูดจริง ได้ข้าจะกลับไป แต่ข้าจะไปพาเมอร์ลินมาเด็ดต้นโคลเวอล์นี้แทน แล้วให้เขาส่งให้กับข้า เพราะคนที่เด็ดกับคนที่ตายเป็นคนเดียวกัน คำสาบนี้ก็จะถูกหักล้างไป” พ่อมดมอร์แกนรู้ทันทีว่าซิดไม่ได้หลงกล จึงรีบเพ่นหายตัวไป เหมือนๆ กับหมาที่อายวิ่งหางจุกตูด
เช้าวันต่อมา เป็นเช้าวันสุดท้ายแล้ว ซิดตื่นมาด้วยความตื่นเต้น เขาจ้องมองที่แปลงดินของเขา แต่แล้วเวลาผ่านไปก็ยังไม่เป็นวี่แววของต้นโคลเวอร์โผล่ขึ้นมาสักต้นหนึ่งเลย ซิดคิดขึ้นในใจว่า เอาล่ะมันยากจริงๆ ที่ต้นโคลเวอร์จะขึ้นมาบนพื้นที่ที่ข้าเตรียมไว้เท่านี้ แต่ก็ไม่เป็นไรเพราะยังไงข้าก็ได้ทำเต็มที่ที่สุดแล้ว แต่ทันใดนั้นเอง บางสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ท่องฟ้ามืดครึ้ม สายลมพัดใบไม้สั่นไหว และหลังจากนั้นเองฝนก็ตกลงมาเป็นเมล็ดพันธุ์เล็กๆ เมล็ดสีทองแกมเขียวขนาดจิ๋ว มันคือเมล็ดของโคลเวอร์สี่ใบ แต่ล่ะเมล็ดคือต้นโคลเวอร์โชคดีหนึ่งต้น และมันไม่ได้มีเมล็ดเดียวเท่านั้น มันมีเยอะมากๆ มันตกลงทั่วป่ามหัศจรรย์ ตกลงทุกซอกทุกมุม และไม่เพียงแต่ป่าอัศจรรย์เท่านั้น ที่อาณาจักรปราสาทของเขาก็ตกลงมาด้วย ตกลงบนตัวอัศวินชุดดำที่ชื่อว่าน้อต ทั้งตัวโนม เทพีแห่งทะเลสาบ ทั้งเซโคยา ราชินีแห่งต้นไม้ และที่สโตนเองก็ตกลงมา ตกลงมาทุกๆ ที่เลย ผู้คนและสิ่งที่มีชีวิตที่อาศัยอยู่ในระแวกนั้น ไม่ได้ใส่ใจกับเมล็ดพันธุ์นี้เลย พวกเขารู้เพียงแต่อย่างเดียวว่านี้เป็นเหตุการณ์ปกติๆ ที่เกิดขึ้นทุกๆ ปี เป็นเหตุการณ์ที่ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ ทั้งยังน่ารำคาญ สกปรกไปหมด และอีกไม่กี่นาทีต่อมาฝนแห่งเมล็ดพันธุ์โคลเวอร์วิเศษก็หยุดตก
เมล็ดพันธุ์โคลเวอร์วิเศษเหล่านั้นต่างก็จมหายไปกับทะสาบมหาสมุทร หายไปกับพื้นดินที่รกร้าง เหมือนเมล็ดพืชที่ถูกหว่านลงไปในทะเลทราย แล้วก็ตายไปอย่างไร้ประโยชน์ ยกเว้นแต่เมล็ดพันธุ์โคลเวอร์วิเศษที่ตกลงผืนดินเล็กๆ ที่ซิดเตรียมไว้ ที่มีดินใหม่อุดมไปด้วยปุ๋ยและแร่ธาตุอาหาร ธารน้ำที่ชุ่มฉ่ำ แสงแดดที่พอเหมาะ บวกกับไปมีเศษหินแม้แต่น้อยเลย และภายในเวลาไม่นานนั้นเอง เมล็ดพันธุ์เหล่านั้นก็งอกกลายเป็นต้นโคลเวอร์อ่อนๆ ที่มีใบสี่ใบ และมันไม่ได้มีเพียงแค่ต้นเดียวเท่านั้น มันขึ้นเต็มแปลงพื้นที่ที่เขาได้เตรียมไว้ทั้งหมด ซิดนั่งคุกเข่าขอบคุณ เทพแห่งสายลมที่โปรยเมล็ดพันธุ์โคลเวอร์วิเศษลงมาในครั้งนี้ ขอบคุณจริงๆ แต่เทพแห่งสายลมกลับตอบว่า “เจ้าไม่ต้องขอบคุณข้า หรอก ข้านะ โปรดเมล็ดพันธุ์โคลเวอร์วิเศษลงมาทุกๆ ปีอยู่แล้ว แต่ใครหลายๆ คนไม่เห็นคุณค่าของมันเอง เจ้าเป็นผู้สร้างแปลงนี้เพื่อสร้างความเหมาะสมของเจ้าเองขึ้นมา เจ้าสมควรแล้วแก่การได้เป็นเจ้าของต้นโคลเวอร์วิเศษนี้”
เชื่อว่าเพื่อนๆ ทุกคนเคยดูหนังสร้างแรงบันดาลใจ top secret วัยรุ่นพันล้าน ซึ่งมันเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงๆ ของ ต๊อบ อิทธิภัทร ถ้าเพื่อนๆ ยังจำได้ มันไม่ใช่เพราะโชคแน่ๆ เส้นทางของเขามีอุปสรรคมากมาย แต่เพราะเขาเชื่อมั่นในเป้าหมายเขารู้ว่าเขาต้องการอะไร เขาจึงไม่สนใจต่อสิ่งรอบข้างที่เข้ามาขัดขวาง และพยายามทุกอย่างที่จะเรียนรู้และพยายามทุกหนทางเพื่อสร้างสิ่งที่เขาต้องการมาให้ได้ ไม่กลัวคำว่าเป็นไปไม่ได้ เขาจึงประสบความสำเร็จ แลวคนธรรมดาอย่างเราๆ ล่ะ จะทำได้หรือไม่ เชื่อว่าใครหลายคนก็คิดว่าไม่มีทางหรอกที่เราจะทำได้อย่างเขา เชื่อว่าหลายคนยังไม่รู้หนทาง ซึ่งผมก็มีนิทานอีกหนึ่งเรื่องที่อยากจะให้เพื่อนๆ ที่คิดและมุ่งมั่นอยากจะสร้างความโชคดีขึ้นมาจริงๆ มีความเชื่อว่าเขาทำได้เราก็ทำได้ นิทานเรื่องนี้จะเหมาะกับเพื่อนๆ อย่างมาก
นานมาแล้วในอาณาจักรอันไกลโพ้น มีพ่อมดนามว่าเมอร์ลินได้เรียกเหล่าอิศวินให้มาชุมนุมกันที่ราชอุทยาน พร้อมกับกล่าวว่าคำท้าว่า “พวกท่านทั้งหลายรอคำท้าจากข้